
เพิ่งเจอมาครับ ได้ MSN จากเพื่อนประมาณว่าให้ไปดูรูปเราที่เขาได้มา
ผู้ใดต้องการแสดงความคิดเห็นในblog กรุณาส่งe-mail address ของท่านมาให้ผมครับ เพื่อที่จะได้ADD ท่านเข้ากับระบบครับผม ส่งมาที่ mahesakw@gmail.com ครับ( ถ้าเป็น e-mail ของ gmail ได้ยิ่งดีครับ ง่ายต่อการregister)
To OS B734
From OE-T B734
11 กันยายน 2552
เรื่อง ขออนุญาติให้นักบินเก็บข้อมูลการบินเนื่องจากปัญหาเสียงผิดปกติระหว่างทาการบินกับเครื่องบิน HS-TDH
เนื่องจากกระผมได้รับรายงานหลายครั้งจากนักบินเกี่ยวกับเสียงผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างทาการบิน กับเครื่องบิน HS-TDH กระผมได้สอบถามไปทางฝ่ายช่างเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ฝ่ายช่างแจ้งว่าไม่สามารถ แก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เนื่องจากขาดข้อมูลที่เพียงพอ จึงขอความร่วมมือจากนักบิน B734 ที่ทาการบินกับ เครื่องบิน HS-TDH เมื่อพบปัญหาดังกล่าว ขอให้ลง complaintใน Flightdeck log และกรุณาจดบันทึกข้อมูลลง ในใบบันทึก ซึ่งจะใส่ไว้ใน Miscellaneous file โดยขอให้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับ
1. Flight number วันที และเวลา(UTC)ที่เกิดเหตุการณ์
2. ระบุตาแหน่งที่เกิดเสียง และลักษณะของเสียง
3. Cabin altitude ในขณะนั้น
4. Differential pressure ในขณะนั้น
5. ระยะสูงของเครื่องบิน ในขณะนั้น
6. Phase of flight (climb,cruise,descent)
เมื่อได้รับข้อมูลที่เพียงพอแล้ว จะได้นาส่งทางฝ่ายช่าง เพื่อประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหา ดังกล่าวต่อไป จึงเรียนมาเพื่อกรุณาดาเนินการ
( คำปัน แก้วน้อย )
B734 OE-T/U NEWS 01/2009
12 SEP 09
1.ขอความร่วมมือ ช่วยกันลงlog เมื่อพบว่า มีความบกพร่องเกี่ยวกับเครื่องบิน เพื่อให้ทางช่างสามารถtroubleshoot ให้กลับมาปกติให้เร็วที่สุด
2.ช่วยกันตรวจสอบ Flightdeck log โดยเฉพาะ FDD ( HOLD ITEMS) ว่า สมควรที่จะอยู่ในFDD หรือไม่ เนื่องจาก บางครั้งที่เกิดปัญหากับเครื่อง แต่ทางช่างไม่มีเวลาtroubleshoot จึงต้องใส่ไว้ใน FDD ถ้าพบว่าcomplaints ดังกล่าวไม่ aircraft airworthy ต้องแจ้งให้ทาง LAE ทราบ เพื่อที่จะแก้ไข แต่ในกรณีที่นักบินชุดก่อนลง log ที่ท่านคิดว่า เป็นเพียง minor snags แล้วทางช่างจับเข้า FDD โดยมิได้ลอง troubleshoot ดูก่อน ขอให้นักบิน monitor ดูอาการดังกล่าวอีกครังว่า ยังมีอาการเดิมอยู่หรือไม่ และถ้าอาการดังกล่าวได้หายไปแล้ว ขอให้ช่วยลง log เป็น information กับช่างว่า อาการดังกล่าวได้หายไปแล้ว ขอให้ทาง LAE ช่วย removeออกจาก FDD ด้วย
3.การเขียน complaints ลงใน Flightdeck log ขอให้เขียนรายละเอียดให้มากที่สุดเกี่ยวกับอาการที่เกิด เพื่อช่วยให้ทางช่างสามารถแก้ไขปัญหาได้ถูกจุดยิ่งขึ้น
4.กรณีที่เครื่องยนต์ accelerateไม่เท่ากันในช่วง takeoff มีหลักในการพิจารณาดังนี้ กล่าวคือ ถ้าการเร่งจาก low idle ไปยัง 40%N1 สองเครื่องยนต์ต้องใช้เวลาแตกต่างกันไม่เกิน 4 seconds และจาก 40%N1ไปยังtarget takeoff thrust จะต้องแตกต่างกันไม่เกิน 2 seconds ถ้าท่านตรวจพบอาการดังกล่าว ขอให้ลง log เพื่อที่ทางช่างจะได้ปรับแก้ให้อยู่ภายใน limit ดังกล่าว โดยจะปรับค่า specific gravity ในMEC(Main engine control)
5.เนื่องจากปัญหาเสียงประหลาดที่เกิดขึ้นในระหว่างไต่ กับเครื่อง HS-TDH ขอความร่วมมือจากนักบินทุกท่านที่ทาการบิน แล้วพบอาการดังกล่าว ลงcomplaints ใน Flightdeck log และบันทึกรายละเอียดลงในใบบันทึกเหตุการณ์ที่จัดไว้ให้ในMiscellaneous file แล้วให้co-pilot ช่วยนาใบบันทึกดังกล่าวมาใส่ไว้ในBOX ของ FC MAHESAK W.#29440 เพื่อที่จะได้รวบรวมข้อมูลดังกล่าวส่งให้ทาง TE investigate และ troubleshoot อาการดังกล่าวต่อไป
6.ขอขอบคุณ FC KOMSAN, FC SURACHAI, FC CHOLLAVITCH และ FP JAKRAPAN สาหรับความร่วมมือในการที่ทาง OE ขอสลับไฟลท์บินกับนักบินทดสอบ ทาให้การทดสอบเครื่องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
7. HS-TDF มีกาหนดจะเข้า C-CHECK เป็นลาต่อไป จึงขอความร่วมมือจากทุกท่าน postข้อมูลทางเทคนิคที่เป็นปัญหาของเครื่องที่ท่านต้องการให้แก้ไข โดยทาง OE-T/U B734 ได้จัดเตรียมใบบันทึกข้อมูลไว้บนบอร์ดของB734 ที่Dispatch
8. For your information ในกรณีของ APU Bleed loss on ground (TDJ) เราสามารถ reset ให้bleed กลั้บมาได้โดยไม่ต้องดับ APU วิธีการที่ทางช่างทาก็คือ ไปที่ APU FADEC BOX ที่ติดตั้งอยู่ที่ผนังด้านขวาของ AFT CARGO แล้วปฏิบัติดังนี้
กดปุ่ม FAULTS ที่ display จะเปลี่ยนเป็นคาว่า CLR FLTS
กดปุ่ม MAINT ที่ display จะเปลี่ยนเป็นคาว่า PRESENT?
กดปุ่ม FAULTS ที่ display จะเปลี่ยนเป็นคาว่า ALL?
กดปุ่ม MAINT ที่ display จะเปลี่ยนเป็นคาว่า ERASE?
กดปุ่ม MAINT ค้างไว้ประมาณ3 seconds จนคาว่า RUN ปรากฏขึ้นมา
9. ทาง OE-T/U B734 ได้ประสานงานกับทาง OU performance เพื่อขอให้ Update GWC โดยได้ขอให้จัดทา Improved climb จาก Takeoff intersection ที่ VTBS เพิ่มเติมจากเดิมที่คิดจาก full length นอกจากนี้ยังได้ขอให้ทาง OU จัดทา improved climb และ engine bleed off takeoff GWC ของสนามบินVARANASI ซึ่งจะทาให้เราได้ Max takeoff weight มากขึ้น สามารถสั่ง Ramp fuel เพิ่มได้อีก ขณะนี้ได้ส่งไปให้โรงพิมพ์ดาเนินการแล้ว
10. ในกรณีที่วิ่งขึ้นจาก VTBS ขอให้พิจารณาใช้ Improved climb takeoff เนื่องจากจะช่วยลด maintenance cost ได้มาก จากข้อมูลที่ทาง OE-T/U ได้สอบถามไปทาง BOEING ได้คาตอบว่า ถ้าใช้ Assumed temp เพิ่มขึ้น 1 degree จะช่วยลด Average maintenance cost ได้ถึง 20 USD เพราะเครื่องยนต์จะสึกหรอช้าลงเนื่องจากใช้ Takeoff thrust น้อยลงในการวิ่งขึ้น
11. ได้ดาเนินการปรับปรุง Drag/Fuel flow ของเครื่อง B734 แล้ว จะช่วยให้ TAFS แสดงข้อมูลfuel ที่ถูกต้องมากขึ้น ขอขอบคุณ FC CHOLLAVITCH N. ที่ช่วยประสานงานกับทางOU
2.1 ATC ที่สมุยมักจะclearedให้cross final course runway17 แล้วให้กลับเข้ามาfinal ในกรณีที่เครื่องที่อยู่บนrunwayต้องการจะวิ่งขึ้น runway 17 ทำให้นักบินต้องเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย ต้องบินอยู่ภายใน mountaineous area โดยไม่จำเป็น
2.2 procedureในการทำvisual approach ทั้งสองrunway นักบินแต่ละท่าน ทำไม่เหมือนกัน รวมถึงprocedureในกรณีที่ไม่สามารถจะ continue approach ได้ ก็ยังคลุมเครือ navaids setting สำหรับการทำvisual approach และการ go-around ก็ไม่มี ส่วนใหญ่จะคิดกันเอง
3.1 ในกรณีที่ ATC สั่งให้ cross final runway 17 เพื่อเปิดทางให้เครื่องวิ่งขึ้น เราควรจะmaintain sector altitude แล้วขอ cross final runway 17 แล้วออกไป intercept outbound radial 335 ไปhold ที่ประมาณ 10 DME แล้วค่อยinboundเข้ามาทางradial 335 จนถึง 8 DME แล้วturn left เข้าหา 4 nm on final course
3.2 ในกรณีที่อากาศไม่ดี แต่ต้องลงrunway 35 ให้ขอบินมาover VOR ที่ความสูง sector altitude แล้วoutbound radial 120 ออกไปประมาณ8-10 nm แล้ว turn right to intercept radial 150 inbound จนถึง 5 DME แล้ว turn left to 3 DME on final course runway 35
3.3 ถ้าต้อง missed approach จาก runway 35 ให้ออกทาง radial 335 แล้วไต่ไปหา sector altitude แล้วขอhold ที่ 10 nm
3.4 การset minima สำหรับการทำ visual approach ควรจะset 500'RH เนื่องจากเราจะอ้างอิงกับการstabilized approach ก่อน 500' RH สำหรับการทำ visual
3.5 การทำvisual approach runway17 ให้ทำFMC เข้ามาที่8nm radial 020 inbound จากนั้นturn right ไปที่4nm final โดยที่ต้อง full configuration ก่อน 4nm final
3.6 ในกรณีที่อากาศดี จะทำapproach runway 35 ให้เริ่มbreak เข้า right downwind ตั้งแต่ 10 nm on radial เพื่อไม่ให้downwind ตีบเกินไป โดยเข้า downwind ขนาน runway แล้ว modify FMC ให้เลี้ยวเข้า right base ไปตามradial 150 inbound จนถึง5nm แล้วบินเข้าหา 3nm on final เพื่อลดปัญหาการเกิด GPWS WARNING
3.7 ในกรณีที่มีเครื่องบินลงสมุยในเวลาใกล้เคียงกัน โดยที่เราเป็น number two for landing on both runway เราควรจะจัดseparation โดยตัวเอง ให้ห่างจากตัวหน้าประมาณ 40 nm หรือ 8 นาที เพื่อให้เวลาตัวหน้า ทำ backtrack on the runway
ข้อมูลการวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้APUกับ GPU400 HZและ PC AIR ของการท่า
อากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่วงTRANSIT สำหรับเครื่องบินแบบB734
เพื่อให้นักบินในฟลีทB734 ได้มีข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจว่า ช่วงเวลาtransit ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ควรจะใช้ APU หรือ GPU 400HZ ของการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงขอนำเสนอข้อมูลดังต่อไปนี้
1.ข้อมูลที่ใช้ในการพิจารณาเปรียบเทียบ
- อัตราแลกเปลี่ยน 1USD เท่ากับ 34.2 baht
- ค่าน้ำมัน JET A-1 เท่ากับ 80 USD/ barrel (อ้างอิงจากประมาณการราคาน้ำมันของบริษัทในปีนี้) หรือเท่ากับ
ประมาณ 20 baht/kg
- ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงAPU( OVERHAUL) ตามข้อมูลที่ได้จาก TE-P การส่งไปซ่อมที่ศูนย์ซ่อมบำรุงAPUที่
สหรัฐอเมริกา มีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำเท่ากับ 250000 USD โดยอ้างอิงจากการใช้งาน APU จนถึงประมาณ 4000 APU operating hours(Average time on wing) ดังนั้นจึงตีเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่ประมาณ 36baht/minute
- ค่าใช้จ่ายในการใช้ GPU และ PC AIR ของ การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับเครื่องบินแบบB734 เท่ากับ3300
baht/60 minutes ( ใช้งานไม่ถึง 60 minutes ก็ต้องเสียเงิน 3300 baht)
- ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการ Run เครื่องยนต์รอการ connect GPU ประมาณ หนึ่งนาที โดยอ้างอิงจาก low idle fuel
consumption at 326 kg/hour/engine หรือเท่ากับ 5.4 kg /minute/engine คิดเป็นเงินเท่ากับ 108 baht/minute/engine
- ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้ APU อ้างอิงจาก APU fuel consumption on ground ที่ 105 kg/hour (1.75
kg/minute) เท่ากับ 35 baht/minute
2.ข้อมูลที่ไม่นำมาใช้ในการพิจารณาเปรียบเทียบ
- ประสิทธิภาพของGPU และ PC AIR ของ การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
- นโยบายเกี่ยวกับ Noise pollution ของการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
- ความไม่สะดวกต่างๆอันเกิดจากการใช้ GPU และ PC AIR
- ค่าใช้จ่ายแปรผัน ของ Line maintenance ในการซ่อมบำรุงAPU
3.นำเสนอการเปรียบเทียบ โดยแยกออกเป็น 3 Scenario
- ทุกscenario มีกรอบเวลาในการพิจารณาเท่ากัน โดยจะเริ่มต้นจาก 1นาที ก่อนเข้าจอดที่หลุมจอด จนกระทั่ง
ประมาณ 5 นาทีก่อนจะ start APU อีกครั้งสำหรับใช้ในการ Start engines
- Transit time 45 minutes
3.1 First scenario
- 2 engines running, approximately 1 minute before stopping the aircraft at the bay = 216 baht
- At the bay, shut down 1 engine
- 1 engine still running due to 1 minute waiting for GPU connect = 108 baht
- GPU and PC AIR connected
- Shut down the remaining engine
- Use ground power for approx 45 minutes = 3300 baht
- ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 3624 baht
3.2 Second scenario
- 2 engines running ,approximately 1 minute before stopping the aircraft at the bay = 216 baht
- Approximately 1 minute before stopping the aircraft at the bay, start APU =35 baht
- At the bay, shut down both engines
- APU still running due to waiting for GPU connect approximately 1 minute = 35 baht
- GPU and PC AIR connected
- Shut down APU
- ค่าใช้จ่ายจากการซ่อมบำรุง APU (ใช้งาน 2 นาที ) = 72 baht
- Use ground power for approx 45 minutes = 3300 baht
- ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 3658 baht
3.3 Third scenario
- 2 engines running , approximately 1 minute before reaching the bay = 216 baht
- Approximately 1 minute before reaching the bay, start APU = 35baht
- At parking bay, shut down engines
- Continue using APU for 45 minutes = 1575 baht
- ค่าใช้จ่ายจากการซ่อมบำรุงAPU( ใช้งาน 45 นาที) = 1620 baht
- ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 3446 baht
4.จากข้อมูลทั้งหมด พอสรุปได้ว่า ทั้งสาม SCENARIO มีค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกัน โดย SCENARIO ที่สาม จะมี
ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด เมื่อใช้ข้อมูลที่ใช้ในการพิจารณาตามที่ได้ระบุไว้ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ข้อสรุปดังกล่าวจะ
ถูกต้องเสมอไป เนื่องจากข้อมูลที่ใช้ในการพิจารณา มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมัน ค่าใช้
บริการGPU ของการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ค่าใช้จ่ายในOVERHAUL APU รวมไปถึงค่าใช้จ่ายแปรผันของ Line
maintenanceในการซ่อมบำรุงAPU มาใช้ในการพิจารณา
5.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ APU
- APU มีไว้สำหรับเป็น Backup source ในกรณีฉุกเฉินด้วย ดังนั้นจึงควรพิจารณาก่อนใช้งานทุกครั้ง หากใช้งานโดย ไม่จำเป็น ย่อมเกิดการสึกหรอ เมื่อถึงเวลาจำเป็นจริงๆ อาจจะไม่สามารถใช้งานได้
- APU เป็นเครื่องยนต์ Gas turbine ชนิดหนึ่ง เมื่อเราทำการ start APU บ่อยๆ และใช้งานหนักในสภาพอากาศร้อน
อย่างในประเทศไทย จะสึกหรอและเสียหายได้ง่าย เนื่องจาก High EGT
- อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของAPU จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ APU operating hours มากขึ้น
- การใช้งาน APU BLEED พร้อมกับเปิด pack ตัวเดียว สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าเปิด pack สองตัว ประมาณ
7kg/hour
- ปัจจุบันนี้ เรามี Spare APU อยู่ 5ตัว
- APU ตัวที่มี Operating hours มากที่สุดตั้งแต่ซื้อมาใช้งาน อยู่กับ HS-TDH (28609 hours)
- APU ตัวที่มี Operating hours มากที่สุด นับจากครั้งสุดท้ายที่ถูกส่งไป overhaul อยู่กับ HS-TDJ ( 4939 hours)
- นโยบายการซ่อมบำรุง APU GTCP36-280B รุ่นที่ใช้กับเครื่องบินแบบ B734 จะใช้งานจนกว่าจะเสีย จึงจะส่งไป
ซ่อม ไม่มีการ OVERHAUL เอง ทำได้อย่างดีที่สุดเพียงแค่ TROUBLESHOOT ด้วยวิธีการลองเปลี่ยนอะไหล่ (LINE
REPLACEMENT UNITS) ดังนั้นถ้าใช้งานมาก ก็อาจจะต้องส่งซ่อมเร็วขึ้น
CAT 2, CAT3 CONCEPT
By FC Somboon Raoruja
9 APRIL 2007
หลักการทำงานพื้นฐานของ Fail Passive และ Fail Operational
ความหมายของ Fail Passive operation คือ การทำงานของระบบใด ๆ
ที่เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว ระบบจะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่วน
Fail Operational operation จะแตกต่างตรงที่ เมื่อมี Failure
เกิดขึ้นกับระบบแล้ว ระบบจะยังคงสามารถทำงานต่อไปได้ตามปกติ ซึ่ง Fail
Operational จำเป็นต้องใช้ Redundancy มาร่วมในการทำงานมากขึ้น
เพื่อสำรองในกรณีที่มีการ Failure เกิดขึ้น
Fail Passive กับ Fail Operational operation
นี้สามารถนำไปใช้ได้กับระบบต่างๆ ได้ทั่วไป เช่น ระบบในโรงงานอุตสาหกรรม
ในขบวนการที่ทำงานโดยเครื่องจักรอัตโนมัติที่สำคัญ อาจมีการใช้ Robot
ที่ทำงานแบบ Fail Operational อยู่ในขั้นตอนการผลิต นั่นคือ Robot
ยังคงทำงานได้อยู่ เมื่อมี Failure เกิดขึ้น เป็นต้น ส่วนในเรื่องของ Cat
2, Cat 3 นั้น เรามักจะนำมาใช้กับระบบ Automatic Approach, AutoLand และ
Auto Rollout
Definition
FAIL-PASSIVE AUTOMATIC LANDING SYSTEM
An automatic landing system is fail-passive if, in the event of a
failure, there is no significant out-of-trim condition or deviation of
flight path or attitude but the landing is not completed
automatically. For a fail-passive automatic landing system the pilot
assumes control of the aircraft after a failure (JAA)
ในคำนิยามเกี่ยวกับ Fail Passive นี้ นอกจากจะเน้นว่าระบบ Autoland
จะทำงานต่อไปไม่ได้ ถ้ามี Failure เกิดขึ้นแล้ว จะกำหนดอีกว่า
นักบินจะต้องสามารถควบคุมเครื่องบินต่อได้แบบง่ายดาย ไม่ Jerk, Out of
trim
FAIL-OPERATIONAL AUTOMATIC LANDING SYSTEM
An automatic landing system is fail-operational if, in the event of a
failure below alert height, the approach, the flare and landing can be
completed by the remaining part of the automatic system. In the event
of failure, the automatic landing system will operate as a fail-
passive system (JAA)
จากคำนิยามนี้แสดงว่า ณ ขณะที่เครื่องบินกำลังผ่าน Alert Height
และยังคงมีความเป็น Fail Operational autoland อยู่ เครื่องจะสามารถทำการ
touch down ได้โดยปลอดภัยแน่นอน ถึงแม้จะมี single failure
เกิดขึ้นหลังจาก AH และเหลือแค่ Fail Passive autoland ก็ตาม
เนื่องจากเวลาจาก Alert Height ถึง touch down เพียงแค่ประมาณ 10 วินาที
สำหรับ AH=100' และประมาณ 20 วินาที สำหรับ AH=200' โอกาสที่จะมี Failure
เพิ่มขึ้นมาอีกจนมีผลกระทบต่อ Fail passive autoland
ที่เหลืออยู่นั้นมีน้อยมาก และถ้ามีจริง FMA จะเปลี่ยนเป็น "NO AUTOLAND"
เพื่อให้นักบินตัดสินใจต่อไป
หลักการพื้นฐานของ Fail Passive automatic approach & landing system
การทำหน้าที่ของ Autopilot ตั้งแต่ approach, landing จนถึง rollout นั้น
จะต้องใช้ข้อมูลจาก 2 Channel มาควบคุมการทำงานของระบบอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้มีการตรวจสอบเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน ถ้ามี failure เกิดขึ้น
ระบบจะทำการ disconnect autoland ทันที
เพื่อให้นักบินทำการควบคุมเครื่องบินต่อไปเอง ดังนั้นการบินด้วย Fail
Passive Autoland ซึ่งสามารถบินได้ในสภาพอากาศ Cat2 (RVR 300m, 350m,
หรือ Cat3A (RVR 200m) นั้น จะต้องใช้ DH ควบคู่ด้วยเสมอ เพื่อให้นักบิน
ตรวจสอบว่า ณ ที่ตำแหน่ง DH นั้น ระบบ Fail Passive autoland
พาเครื่องมาสู่ touchdown zone อย่างถูกต้องจริง ถึงแม้ว่า RVR
จะต่ำมากเพียง 200 m นักบินก็จะยังคงสามารถเห็น "3 consecutive lights"
เช่น APL 3 ดวงเรียงติดกัน หรือ CLL 3 ดวงเรียงติดกัน ซึ่งจะทำให้รู้
Directional ของเครื่องบินได้ เมื่อนักบิน confirm ว่าใช่ touchdown zone
จริง และ บินใน directional ที่ถูกต้อง ก็สามารถปล่อยให้เครื่องทำการ
autoland ไปได้
โดยทั่วไปแล้ว Airbus กับ MD จะออกแบบ Fail Passive automatic approach &
landing system โดยใช้ 2 channel ต่อ 1 A/P แต่ Boeing จะใช้ 1 channel
ต่อ 1 A/P
Airbus จึงใช้เพียง 1 A/P (2 channel) ก็สามารถบินในสภาพอากาศแบบ Cat 2
หรือ Cat3A ได้ โดย FMA แสดงเป็น CAT 3 SINGLE
Boeing ต้องใช้ 2 A/P (2 channel) ทำการบิน Cat2, Cat3A โดย FMA แสดงเป็น
LAND 2
หลักการพื้นฐานของ Fail Operational automatic approach & landing system
ข้อแตกต่างจาก Fail passive automatic approach & landing system คือระบบ
autoland จะมีการใช้ข้อมูลเพื่อควบคุมระบบมากขึ้น ( มี redundancy)
ดังนั้น การทำงานของระบบจึงต้องใช้ข้อมูล อย่างน้อย 3 channel
มาทำงานร่วมกัน เพื่อให้มี majority vote ถ้ามี channel
หนึ่งมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากที่เหลือ ระบบก็จะ Disregard ข้อมูลที่
error นี้ทิ้งไป นั่นคือจะ disconnect A/P ตัวที่ error ออกและเหลือแค่
Fail passive autoland และนักบินต้องตัดสินใจต่อไปว่าจะทำอย่างไรต่อไป
โดยทั่วไป Airbus และ MD จะใช้ 2 A/P (4 channel) และ Boeing ใช้ 3 A/P
(3 channel) ในการบินแบบ Fail Operational autoland
Airbus จึงใช้ 2 A/P (4 channel) เพื่อบินในสภาพอากาศแบบ Cat3B ได้ โดย
FMA แสดงเป็น CAT 3 DUAL
Boeing ต้องใช้ 3 A/P (3 channel) ทำการบิน Cat3B โดย FMA แสดงเป็น LAND
3
ถ้ามี single failure เกิดขึ้น ระบบจะ downgrade เหลือ 2 channel
เท่ากันคือ CAT 3 SINGLE หรือ LAND 2
RVR
RVR สำหรับ Cat 2 : กำหนดไว้เพื่อให้นักบินมี visual reference
ที่เพียงพอที่ DH และสามารถทำ manual landing ได้ ถ้า RVR 350 m, และต้อง
Autoland ถ้า RVR 300 m. การ "contact" ของนักบิน ต้องเห็นไฟอย่างน้อย 3
consecutive lights
RVR สำหรับ Cat 3A : กำหนดไว้สำหรับการ touchdown
เพื่อให้นักบินตัดสินใจว่าที่ DH นั้นเครื่องบินได้บินเข้ามาและจะ land
ที่ touchdown zone จริง โดย RVR นี้จะไม่เพียงพอให้ทำ manual landing
ได้ การ "contact" ของนักบิน ต้องเห็นไฟอย่างน้อย 3 consecutive lights
(APL, CCL, RWL, TDZL)
RVR สำหรับ Cat3B : กำหนดไว้สำหรับการ rollout
เพื่อให้นักบินแน่ใจว่าเครื่องจะ automatic rollout
ต่อไปได้หลังแตะพื้นไปแล้ว การ "contact" ของนักบินต้องเห็นไฟอย่างน้อย 1
ดวงของ CCL
AH vs DH
การบินด้วย Fail Operational autoland ที่สามารถบินได้ถึงสภาพอากาศแบบ
Cat3B นั้น โดยหลักการแล้ว สายการบินจะบินโดยใช้หรือไม่ใช้ DH ก็ได้
ถ้าไม่ใช้ DH ก็ต้องใช้ AH แทน โดยปกติ DH กับ AH จะไม่ใช้คู่กัน
เพราะมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันชัดเจน คือถ้าใช้ DH
นักบินจะต้องเห็นสนามก่อนลงที่ DH แต่ถ้าใช้ AH
แล้วนักบินไม่จำเป็นต้องเห็นสนามก่อนลง ถ้าเงื่อนไขอื่นครบถ้วน
จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า
- ถ้าเครื่องเป็น Fail Passive Autoland สามารถบินได้ทั้ง Cat2 และ Cat3A
- ถ้าเครื่องเป็น Fail Operational Autoland สามารถบินได้ทั้ง Cat2,
Cat3A, Cat3B
- ถ้าสภาพอากาศเป็น Cat3A แล้ว อย่างน้อยเครื่องต้องเป็น Fail Passive
autoland
เมื่อใช้ Fail Passive autoland จะต้องมี DH (50') เสมอ
เมื่อใช้ Fail Operational autoland แล้วทำ Cat3A จะใช้ระบบ DH (50')
หรือ AH ก็ได้ (DH = 0') สำหรับ ICAO & FAA ส่วน JAA ระบุว่าต้องใช้ DH
เสมอ
- ถ้าสภาพอากาศเป็น Cat3B แล้ว เครื่องต้องเป็น Fail Operational
autoland เท่านั้น
อาจจะใช้ระบบ DH (20') หรือ AH ก็ได้ โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้
A] การทำ Cat 3B โดยใช้ AH และไม่ใช้ DH (DH = 0')
โดยทั่วไป เมื่อเครื่องบินมาถึง AH และ RP callout ว่า "Alert Height" LP
จะ callout ว่า "Landing" โดยต้องแน่ใจว่า
1) เครื่องยังคงเป็น Fail Operational autoland อยู่ขณะที่ผ่าน AH
2) Quality ของการทำ Approach ยังดีอยู่ และ
3) official RVR ที่ report มาก่อนเข้า FAF, OM หรือ 1000' นั้น above
minima
นักบินจึงจะปล่อยให้เครื่องทำการ autoland ไป
ถึงแม้นักบินจะไม่เห็นสนามก่อน touchdown ก็ตาม ( ไม่ใช้ DH)
โดย RVR ที่ยังต้องการให้ above minima อยู่นั้น เพราะ RVR ของ Cat3B นี้
มีไว้สำหรับการ Rollout เพื่อให้นักบินแน่ใจว่า จะเห็น CLL หลังจาก
touchdown แล้ว และสามารถ monitor Automatic Rollout ต่อไปได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้า RVR below minima (<100 m) แล้ว
นักบินอาจจะไม่สามารถ monitor automatic rollout ได้
จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยเครื่อง touchdown ถ้า RVR below minima
B] การทำ Cat3B โดยใช้ DH = 20' และไม่ใช้ AH
เนื่องจากมี สายการบิน , สนามบิน และ Authority ของประเทศจำนวนมาก
ยังไม่มั่นใจให้เครื่องทำการ touchdown โดยนักบินไม่เห็นไฟ CLL ก่อน
และไม่มั่นใจว่านักบินจะสามารถ Monitor automatic rollout
ต่อไปได้ด้วยถ้าไม่เห็นไฟ CLL ก่อน จึงเลือกที่จะใช้ระบบ DH แทน AH
จึงเป็นการดีกว่าถ้าจะให้ นักบินเห็นไฟ CLL อย่างน้อย 1 ดวงก่อน
automatic touchdown เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถ monitor การ rollout
ได้ต่อไปหลังแตะพื้น
C] การทำ Cat3B โดยใช้ AH คู่กับ DH 20'
ถึงแม้ว่าจะขัดกับหลักการออกแบบดั้งเดิมอยู่บ้าง
แต่ในปัจจุบันมีหลายสายการบินเลือกใช้ AH กับ DH คู่กันในการทำ Approach
โดยอาจจะคิดว่า การใช้ AH ก็มีข้อดีที่นักบินจะรู้และมีการ remind
ก่อนลงว่าได้ถึงจุด AH แล้ว และเครื่องสามารถ touchdown ได้แน่นอน
ถ้าไม่มี multiple failure เกิดขึ้นกับระบบ autoland หลังจากผ่าน AH
และนักบินยังคงต้องเห็นไฟ CLL ก่อนลง เพื่อให้แน่ใจว่านักบินจะสามารถ
Monitor automatic rollout ต่อไปได้
และยังเป็นการแก้ปัญหาข้อจำกัดของบางสนามบินที่ระบุให้นักบินต้องเห็นสนามก่อนล งเท่านั้นด้วย
AIRCRAFT ALERT HEIGHT
Below 200', the FMGS freezes the landing capability until LAND mode is
disengaged or both A/P are off. Therefore a failure occurring below
200' does not change the category of the system (A330).
การที่ผู้ผลิตเครื่องบินได้ออกแบบให้ Freeze FMA ที่ 200' นั้น ( ไม่
Freeze คำว่า "No Autoland") เหมือนกับการให้นักบินใช้ AH = 200'
ไปในตัวอยู่แล้ว นั่นคือ ขณะที่บินในสภาพอากาศ Cat3B ด้วย Fail
Operational autoland นั้น ถ้ามี single failure ต่อ ระบบ Autoland
ที่ต่ำกว่า 200' นั้น ( เช่นเกิดขึ้นที่ 170') นักบินที่ใช้ระบบ AH =
100' หรือ ใช้ระบบ DH=20' ก็จะไม่ Go around
เพราะไม่ทราบว่าขณะนั้นเหลือแค่ Fail Passive autoland แล้ว ทั้ง ๆ
ที่มีข้อกำหนดให้เครื่องต้องเป็น Fail Operational autoland ก่อนถึง AH
ก็ตาม จึงบินต่อไปตามปกติ เปรียบเสมือนบินด้วย AH = 200'
สายการบินที่เลือกใช้ AH = 100' นั้น ถ้าเปลี่ยนเป็น 200'
ได้ก็จะสอดคล้องเป็นอย่างดีกับการออกแบบของผู้ผลิตเครื่องบิน
ส่วนสายการบินที่ใช้ระบบ DH=20' ก็เปรียบกับใช้ AH=200'
ของเครื่องบินไปด้วยอยู่แล้ว เพราะการออกแบบของผู้ผลิตเครื่องบิน
จากข้อมูลทั้งหมดข้างต้น
น่าจะทำให้เกิดความชัดเจนในบางประเด็นที่เป็นข้อถกเถียง เช่น
- เครื่องบิน B744, B777 ที่มี LAND2 และเครื่อง A330, A340 ที่มี Cat3
Single นั้น สามารถบินในสภาพอากาศแบบ Cat3A (RVR 200m) ได้จริง
แต่ต้องใช้ DH (50') และไม่ใช้ AH โดยไม่จำเป็นต้องใช้ LAND3, CAT3 DUAL
เพื่อทำ Cat3A เท่านั้น ( แต่สามารถใช้ได้ ) ดังนั้น
การที่สายการบินบางแห่งกำหนดให้การทำ Cat3 A ต้องใช้ Fail Operational
autoland เท่านั้น ( ไม่ว่าจะใช้ DH หรือ AH ก็ตาม )
ถือได้ว่าเป็นข้อกำหนดเพิ่มเติมของสายการบินนั้นเอง
โดยอาจจะคิดว่ามีความปลอดภัยมากขึ้น
โดยแลกกับการสูญเสียโอกาสในการบินในบางกรณี
- การทำ Cat3A ใน USA นั้น สำหรับการบินไทย ซึ่งเป็น Foreign Flag
carrier ก็ไม่มีหลักการที่แตกต่างพิเศษแต่อย่างใด นั่นคือ สามารถทำ Cat3A
ด้วย Fail Passive Autoland และ DH=50' ตามปกติ ซึ่งข้อกำหนดใน Route
Manual เกี่ยวกับเรื่องนี้อาจจะไม่ถูกต้อง เพราะกำหนดว่าต้องใช้ Fail
Operational Autoland เท่านั้น
นอกจากปัญหาด้านความเข้าใจของนักบินในหลักการบิน Cat 3
เมื่อได้อ่านจากคู่มือของบริษัทอย่างเดียวนั้น
ยังมีปัญหาอื่นเพิ่มเติมอีกเช่น นักบินไม่รู้ Qualification
ของตัวเองว่าบินได้ถึง Cat ไหน และไม่มีการทำ Recurrent
ครบถ้วนตามข้อกำหนดใน Route Manual เป็นต้น